28 ม.ค. 2565  ดุสเซลดอล์ฟ เยอรมนี

มาตรการเพื่อยกระดับวาระการเติบโตอย่างมีเป้าหมาย

เฮงเค็ลวางแผนที่จะควบรวมธุรกิจผลิตภัณฑ์ซักล้างและผลิตภัณฑ์ในครัวเรือนเข้ากับธุรกิจบิวตี้แคร์ เป็นหน่วยธุรกิจ “แบรนด์สินค้าอุปโภคบริโภค”

  • การสร้างพอร์ตโฟลิโอในหลากหลายอุตสาหกรรมเพื่อการเติบโตด้วยยอดขายประมาณ 1 หมื่นล้านยูโร
  • การเพิ่มประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่องของพอร์ตโฟลิโอในหมวดหมู่สินค้าอุปโภคบริโภค: โฟกัสที่แบรนด์หลักและธุรกิจที่มีการเติบโตและศักยภาพของอัตรากำไรที่น่าดึงดูด และพื้นฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการควบรวมกิจการในหมวดหมู่สินค้าอุปโภคบริโภค
  • การทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อเพิ่มความคาดหวังจากการรวมกัน
  • เปิดตัวโครงการซื้อหุ้นคืนสูงถึง 1 พันล้านยูโร: ใช้ประโยชน์จากงบดุลและกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง ปรับโครงสร้างเงินทุนให้เหมาะสม และส่งสัญญาณความเชื่อมั่นที่แข็งแกร่งในอนาคตสำหรับการเติบโตที่มีผลกำไรที่ดี
  • ผลการดำเนินงานเบื้องต้นในปี 2564: การเติบโตของยอดขายสุทธิที่ไม่รวมผลกระทบอื่นๆ ‏‏(organic sales) (OSG) ที่ +7.8% ส่วนต่างกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี (EBIT margin)* ที่ 13.4% และกำไรต่อหุ้นบุริมสิทธิ* (EPS) เติบโต +9.2% (ที่อัตราแลกเปลี่ยนคงที่)
  • แนวโน้มในปี 2564: การเติบโตของยอดขายสุทธิที่ไม่รวมผลกระทบอื่นๆ (OSG): 2 ถึง 4%, ส่วนต่างกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี* (EBIT margin): 11.5 ถึง 13.5%, และกำไรต่อหุ้นบุริมสิทธิ* (EPS): -15 ถึง +5% (ที่อัตราแลกเปลี่ยนคงที่) สะท้อนถึงความไม่แน่นอนและความผันผวนของตลาดในระดับสูง
  • เป้าหมายทางด้านการเงินระยะกลางถึงระยะยาวใหม่สำหรับเฮงเค็ล: การเติบโตของยอดขายสุทธิที่ไม่รวมผลกระทบอื่นๆ (OSG) 3 ถึง 4%, ส่วนต่างกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี* (EBIT margin) ประมาณ 16% และการเติบโตของกำไรต่อหุ้นบุริมสิทธิ* (EPS) ในระดับกลางถึงสูงของตัวเลขหลักหน่วย (ที่อัตราแลกเปลี่ยนคงที่ รวมถึงการควบรวมกิจการ)

วันนี้ เฮงเค็ลประกาศแผนการที่จะรวมหน่วยธุรกิจผลิตภัณฑ์ซักล้างและผลิตภัณฑ์ในครัวเรือนเข้ากับธุรกิจบิวตี้แคร์เป็นหน่วยธุรกิจเดียวกัน ภายใต้แบรนด์สินค้าอุปโภคบริโภคของเฮงเค็ล โดยบริษัทจะเริ่มกระบวนการควบรวมกันในทันทีและตั้งเป้าที่แล้วเสร็จภายในต้นปี พ.ศ.2566 สำหรับหน่วยธุรกิจใหม่นี้ เฮงเค็ลจะสร้างแพลตฟอร์มหนึ่งเดียวที่มีหลายหมวดหมู่เพื่อการเติบโต ซึ่งรวมแบรนด์สินค้าอุปโภคบริโภคและหน่วยธุรกิจไว้เป็นหนึ่งเดียว รวมไปถึงแบรนด์ชั้นนำมากมาย อาทิ Persil และ ชวาร์สคอฟ รวมไปถึงธุรกิจบิวตี้แคร์ผลิตภัณฑ์สำหรับผู้เชี่ยวชาญการทำผมมืออาชีพ

เราจะผนึกกำลังในธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคของเราเพื่อสร้างหน่วยธุรกิจแบบบูรณาการที่แข็งแกร่ง เพื่อเป็นรากฐานสำหรับการเติบโตของผลกำไรในอนาคต การควบรวมธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อเฮงเค็ล ผู้ถือหุ้น ลูกค้า และทีมงานของเราเป็นอย่างมาก และจะทำให้เราอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่จะกำหนดให้สอดคล้องกับอนาคตในภาคอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูง” มร.คาร์สเทน โนเบล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เฮงเค็ล กล่าว

เรากำลังสร้างแพลตฟอร์มหลายหมวดหมู่ด้วยยอดขายประมาณ 10 พันล้านยูโร สิ่งนี้จะเป็นพื้นฐานที่กว้างขึ้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและกำหนดรูปแบบพอร์ตโฟลิโอของเราไปสู่การเติบโตและอัตรากำไรที่สูงขึ้น การควบรวมในครั้งนี้ จะส่งผลให้การทำงานร่วมกันและประสิทธิภาพเพิ่มสูงขึ้น เราสามารถลดทรัพยากรในบางส่วนเพื่อนำไปใช้ในการลงทุนตามเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ของเรา เช่น นวัตกรรม ความยั่งยืน และการเปลี่ยนแปลงด้านดิจิทัล ซึ่งจะส่งผลให้เรากลายเป็นนายจ้างที่น่าดึงดูดยิ่งขึ้นไปอีก โดยเสนอบทบาทที่มากขึ้นและโอกาสในการเติบโตในอุตสาหกรรมที่น่าตื่นเต้น โดยสรุป: ผมเชื่อว่าการควบรวมกิจการครั้งนี้จะนำเราไปสู่วาระการเติบโตอย่างมีจุดมุ่งหมายในระดับต่อไป”

การควบรวมกิจการได้รับการออกแบบเพื่อขับเคลื่อนการเจริญเติบโตและผลกำไรของธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคและบริษัทฯ สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นทางการเงินในระยะกลางถึงระยะยาวใหม่ของเฮงเค็ล โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าการเติบโตของยอดขายสุทธิที่ไม่รวมผลกระทบอื่นๆ ‏‏(organic sales) ที่ 3 ถึง 4% ส่วนต่างกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี* (EBIT margin) ประมาณ 16% และเปอร์เซ็นต์ตัวเลขในระดับกลางถึงสูงหลักเดียว ในการเติบโตของกำไรต่อหุ้นบุริมสิทธิที่ปรับปรุงแล้ว (ที่อัตราแลกเปลี่ยนคงที่ รวมถึงการควบรวมกิจการ)

แพลตฟอร์มที่แข็งแกร่ง: เน้นพอร์ตโฟลิโอที่มีการเติบโตที่น่าดึงดูดและมีศักยภาพด้านอัตรากำไร

แบรนด์สินค้าอุปโภคบริโภคของเฮงเค็ลจะสามารถดึงศักยภาพในการเติบโตอย่างเต็มที่ และมุ่งเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์ที่มีการเติบโตที่น่าดึงดูดและมีศักยภาพด้านอัตรากำไร นอกเหนือไปจากการวัดผลการจัดการพอร์ตโฟลิโอที่ดำเนินการแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2564

การวัดผลพอร์ตโฟลิโอเพิ่มเติมจะรวมถึงการถอนการลงทุนหรือการยุติแบรนด์และธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก ตลอดจนการเข้าซื้อกิจการในหมวดหมู่ต่างๆ มาตรการวัดผลเริ่มแรกจะมุ่งไปที่พอร์ตโฟลิโอบิวตี้แคร์ที่จะเริ่มดำเนินการในปี พ.ศ. 2565

การสร้างสเกล: การทำงานร่วมกันที่สำคัญและเสริมสร้างประสิทธิภาพให้เพิ่มสูงขึ้น

การรวมหน่วยธุรกิจทั้งสองเข้าด้วยกันจะก่อให้เกิดสเกลที่ใหญ่ขึ้น ทำให้บริษัทสามารถประสานการทำงานร่วมกัน มีประสิทธิภาพและคล่องตัวมากขึ้น ตลอดจนช่วยให้องค์กรดำเนินการได้รวดเร็วและยืดหยุ่นมากขึ้นในสภาพแวดล้อมที่มีความผันผวนสูง การทำงานร่วมกันจะเกิดขึ้นในด้านต่างๆ อาทิ การบริหาร การจัดจำหน่าย การตลาด และ ห่วงโซ่อุปทานซึ่งจะช่วยลดการใช้ทรัพยากรต่างๆ ในธุรกิจแบรนด์สินค้าอุปโภคบริโภคลงเพื่อเพิ่มการลงทุนที่สูงขึ้น และสามารถกำหนดเป้าหมายการลงทุนในเชิงกลยุทธ์ได้ดียิ่งขึ้น เช่น นำดิจิทัลเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานสำหรับการวิจัยและพัฒนา (R&D) ความสามารถด้านอีคอมเมิร์ซ หรือความพยายามในการพัฒนาอย่างยั่งยืน อาทิ บรรจุภัณฑ์ที่รีไซเคิลได้ การทำงานร่วมกันจะถูกนำมาใช้เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับผลกำไรของหน่วยธุรกิจ

การร่วมทีมกัน: โครงสร้างองค์กรที่ลีน การตัดสินใจที่รวดเร็วยิ่งขึ้น และโอกาสที่น่าดึงดูด

หน่วยธุรกิจใหม่จะถูกจัดระเบียบโดยยึดลูกค้าและช่องทางจัดจำหน่ายเป็นศูนย์กลาง - ด้วยวิธีการแบบบูรณาการสำหรับผู้ค้าปลีก เทรด หรือพันธมิตรช่องทางจัดจำหน่ายในทุกประเภท

ภายใต้การนำทีมเดียว ทีมงานที่รวมกันจะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคทั้งหมดให้ก้าวหน้าด้วยโครงสร้างที่ลีนและการตัดสินใจที่รวดเร็วยิ่งขึ้น ในธุรกิจที่ควบรวมกัน เฮงเค็ลจะนำเสนอบทบาทและโอกาสที่เพิ่มมากขึ้น เพื่อนำไปสู่การเป็นนายจ้างที่น่าดึงดูดยิ่งขึ้นสำหรับทีมทำงาน ผู้นำ พนักงานที่มีความรู้ความสามารถ และพนักงานใหม่

โครงสร้างความเป็นผู้นำที่ชัดเจนสำหรับหน่วยธุรกิจแบรนด์สินค้าอุปโภคบริโภค

ขั้นตอนการควบรวมกิจการและหน่วยงานที่ควบรวมกันใหม่จะนำโดย มร.วูล์ฟกัง โคนิค (อายุ 49 ปี) ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองประธานบริหารของธุรกิจบิวตี้แคร์ของเฮงเค็ล ด้าน มร.บรูโน ปิอาเซนซา (อายุ 56 ปี) รองประธานบริหารในภาคธุรกิจผลิตภัณฑ์ซักล้างและผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน ตั้งแต่ปี พ.ศ.2554 ยังคงดูแลธุรกิจผลิตภัณฑ์ซักล้างและผลิตภัณฑ์ในครัวเรือนและจะทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับ มร.วูล์ฟกัง โคนิค ในกระบวนการเปลี่ยนถ่ายจนถึงสิ้นปี พ.ศ.2565

“ในฐานะคณะกรรมการผู้ถือหุ้นและคณะกรรมการกำกับดูแลของเฮงเค็ล ผมขออวยพรให้ มร.วูล์ฟกัง โคนิค ประสบความสำเร็จในหน้าที่และความรับผิดชอบใหม่ของเขา ประสบการณ์ด้านการบริหารจัดการในระดับสากลและความเป็นผู้นำของเขาในอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค ครัวเรือน และการดูแลส่วนบุคคลจะมีคุณค่าอย่างมากในการก่อตั้งและพัฒนาหน่วยธุรกิจแบรนด์สินค้าอุปโภคบริโภคให้ประสบความสำเร็จ” ดร. ซิโมน เบเกิล-ทราห์ ประธานคณะกรรมการและคณะกรรมการกำกับดูแลผู้ถือหุ้นเฮงเค็ล กล่าว

“ผมขอขอบคุณ มร.บรูโน ปิอาเซนซา จากใจจริง เขาร่วมงานกับเฮงเค็ลมากว่า 30 ปี และเป็นผู้นำธุรกิจผลิตภัณฑ์ซักล้างและผลิตภัณฑ์ในครัวเรือนในตำแหน่งรองประธานบริหารมากว่า 11 ปี ด้วยแพชชั่นและความเชี่ยวชาญของเขา แบรนด์ชั้นนำและธุรกิจของเราได้พัฒนาอย่างประสบความสำเร็จมาโดยตลอด เรารู้สึกขอบคุณมากสำหรับความมุ่งมั่นและการสนับสนุนของเขา และดีใจที่เขาจะทำงานร่วมกับ มร.วูล์ฟกัง โคนิค เพื่อให้แน่ใจว่ากระบวนการเปลี่ยนถ่ายจะมีประสิทธิภาพ”

“ภายใต้การนำของ มร.วูล์ฟกัง โคนิค ทีมงานที่ควบรวมกันจะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาธุรกิจแบรนด์สินค้าอุปโภคบริโภคทั้งหมด ด้วยโครงสร้างที่ลีนและการตัดสินใจที่รวดเร็วขึ้น ผมต้องขอขอบคุณ มร.บรูโน่ ปิอาเซนซา และความสำเร็จมากมายของเขาตลอดระยะเวลากว่าสามทศวรรษที่ร่วมงานกับเฮงเค็ล” มร.คาร์สเทน โนเบล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เฮงเค็ล กล่าวเสริม

โปรแกรมซื้อคืนหุ้นด้วยปริมาณสูงถึง 1 พันล้านยูโร

เฮงเค็ลยังเปิดตัวโครงการซื้อคืนหุ้นด้วยปริมาณรวมสูงถึง 1 พันล้านยูโร หุ้นบุริมสิทธิของเฮงเค็ลที่มีมูลค่ารวมสูงถึง 800 ล้านยูโร และหุ้นสามัญที่มีมูลค่ารวมสูงถึง 200 ล้านยูโรจะถูกซื้อคืนจากราคาในตลาดหุ้นในปัจจุบัน คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 3% ของหุ้นทุนสามัญของบริษัทฯ โปรแกรมนี้คาดว่าจะเริ่มในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2565 และจะดำเนินการจนกระทั่งถึงวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2566 เป็นอย่างช้า โดยการมีส่วนร่วมของธนาคารผ่านทางตลาดหุ้น ในเดือนเมษายน พ.ศ.2562 การประชุมสามัญประจำปีอนุญาตให้คณะกรรมการบริหารของเฮงเค็ลซื้อหุ้นซื้อคืนได้มากถึง 10% ของหุ้นทุนสามัญ เฮงเค็ลตั้งใจที่จะถือหุ้นที่ซื้อคืนในขั้นต้นเป็นหุ้นซื้อคืน โดยสงวนสิทธิ์ในการยกเลิกและลดจำนวนหุ้นทุนสามัญตามนั้น

“ด้วยโปรแกรมนี้ เรากำลังสร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นของเรา และต้องการตอกย้ำความมั่นใจในความแข็งแกร่งทางการเงินและศักยภาพในอนาคตของธุรกิจของเรา เมื่อพิจารณาจากงบดุลที่แข็งแกร่งและระดับหนี้ที่ต่ำ ตลอดจนการสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง สิ่งนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการดำเนินการเข้าซื้อกิจการเชิงกลยุทธ์ ทั้งในแบรนด์สินค้าอุปโภคบริโภคและหน่วยธุรกิจเทคโนโลยีกาวของเรา” มร.คาร์สเทน โนเบล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เฮงเค็ล กล่าว

เฮงเค็ลประกาศตัวเลขผลประกอบการเบื้องต้นสำหรับปี พ.ศ.2564

จากตัวเลขเบื้องต้น เฮงเค็ลมีผลประกอบการที่ดีโดยรวมในปีงบประมาณ 2564 การพัฒนานี้ได้รับแรงหนุนโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการเติบโตเป็นเลขสองหลักในหน่วยธุรกิจเทคโนโลยีกาว ในขณะที่ผลกระทบต่อเนื่องจากการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลพวงอันเนื่องมาจากราคาวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและห่วงโซ่อุปทานที่ตึงเครียด

ในเบื้องต้น ยอดขายของกลุ่มเฮงเค็ลในปีงบประมาณ 2564 เพิ่มขึ้นเป็น 20,066 ล้านยูโร การเติบโตของยอดขายสุทธิที่ไม่รวมผลกระทบอื่นๆ ‏‏(organic sales) อยู่ที่ 7.8% ธุรกิจเทคโนโลยีกาวมียอดขาย 9,641 ล้านยูโร ซึ่งแสดงถึงการเติบโตเป็นเลขสองหลักที่ 13.4% ธุรกิจบิวตี้แคร์ มียอดขาย 3,678 ล้านยูโร เติบโต 1.4% ในธุรกิจผลิตภัณฑ์ซักล้างและผลิตภัณฑ์ในครัวเรือนมียอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 6,605 ล้านยูโร เติบโต 3.9% สำหรับเฮงเค็ลผลตอบแทนจากส่วนต่างกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี (EBIT margin) อยู่ที่ 13.4% หน่วยธุรกิจเทคโนโลยีกาวได้รับผลตอบแทนจากส่วนต่างกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษีอยู่ที่ 16.2% หน่วยธุรกิจบิวตี้แคร์ให้ผลตอบแทนจากส่วนต่างกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษีที่ 9.5% ในขณะที่ผลตอบแทนจากส่วนต่างกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษีของหน่วยธุรกิจผลิตภัณฑ์ซักล้างและผลิตภัณฑ์ในครัวเรือนอยู่ที่ 13.7% กำไรต่อหุ้นบุริมสิทธิที่ปรับปรุงแล้ว (EPS) สำหรับกลุ่มบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 4.56 ยูโร หรือ +9.2% (ที่อัตราแลกเปลี่ยนคงที่) ตัวเลขทั้งหมดเป็นเพียงตัวเลขเบื้องต้น

“แม้ในท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ท้าทายและการหยุดชะงักในห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน การขาดแคลนวัตถุดิบและราคาที่พุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เรายังคงประสบความสำเร็จในการดำเนินงานโดยรวมที่ดีโดยมีการเติบโตที่ได้รับแรงสนับสนุนจากทุกหน่วยธุรกิจ อัตรากำไรที่คงที่ และกำไรต่อหุ้นที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก นี่คือความสำเร็จของทีมเฮงเค็ลระดับโลกที่ก้าวนำไปข้างหน้าเพื่อให้ธุรกิจของเราสามารถดำเนินต่อและให้บริการลูกค้าและผู้บริโภคทั่วโลก” มร.คาร์สเทน โนเบล กล่าว

แนวโน้มปี 2565

โดยพิจารณาจากการประเมินสภาพแวดล้อมของตลาดในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานการณ์ที่ตึงเครียดอย่างต่อเนื่องในตลาดวัตถุดิบ ตลอดจนในห่วงโซ่อุปทานและการเพิ่มขึ้นอย่างมากของต้นทุนวัสดุทางตรง เฮงเค็ลให้แนวโน้มสำหรับปีงบประมาณ 2565 (อิงจากปัจจัยในปัจจุบันจากทั้งสามหน่วยธุรกิจ)

เฮงเค็ลคาดว่ายอดขายสุทธิที่ไม่รวมผลกระทบอื่นๆ ‏‏(organic sales) ของกลุ่มบริษัทจะเติบโตในช่วง 2 ถึง 4% ในปี 2565 สำหรับหน่วยธุรกิจเทคโนโลยีกาว เฮงเค็ลคาดว่ายอดขายจะเติบโตในช่วงระหว่าง 5 ถึง 7% ในปี 2565 สำหรับหน่วยธุรกิจบิวตี้แคร์ คาดการณ์ว่าจะติดลบในช่วงระหว่าง -5 ถึง -3% การลดลงส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากการดำเนินการเพื่อปรับปรุงพอร์ตโฟลิโอ รวมถึงการหยุดกิจกรรมที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจหลักในอนาคต หรือประมาณ 5% ของยอดขายของหน่วยธุรกิจในปี 2564 สำหรับธุรกิจผลิตภัณฑ์ซักล้างและผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน เฮงเค็ลคาดว่าจะเติบโตที่ 2 ถึง 4%

ผลตอบแทนจากส่วนต่างกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี (EBIT margin) สำหรับกลุ่มบริษัทคาดว่าจะอยู่ระหว่าง 11.5 ถึง 13.5% สำหรับธุรกิจเทคโนโลยีกาว เฮงเค็ลคาดว่าผลตอบแทนจากส่วนต่างกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษีจะอยู่ระหว่าง 15 ถึง 17% สำหรับธุรกิจภัณฑ์บิวตี้แคร์อยู่ระหว่าง 7.5 ถึง 10% และสำหรับธุรกิจผลิตภัณฑ์ซักล้างและผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน จะอยู่ในช่วง 10.5 ถึง 13%

ในระดับกลุ่ม เฮงเค็ลคาดว่ากำไรต่อหุ้นบุริมสิทธิ (EPS) จะอยู่ในช่วงระหว่าง -15 ถึง +5% (ที่อัตราแลกเปลี่ยนคงที่) ซึ่งสะท้อนถึงความไม่แน่นอนและความผันผวนของตลาดในระดับสูง

เป้าหมายทางการเงินในระยะกลางถึงระยะยาว

ด้วยแพลตฟอร์มหลายหมวดหมู่อันใหม่และการควบรวมทีมสินค้าอุปโภคบริโภคเข้าด้วยกัน เฮงเค็ลจะขับเคลื่อนการเติบโตและผลกำไรสำหรับธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคและกลุ่มบริษัท เป้าหมายทางด้านการเงินในระยะกลางถึงระยะยาวใหม่นี้ เฮงเค็ลตั้งเป้าธุรกิจว่าแบรนด์สินค้าอุปโภคบริโภคจะช่วยพัฒนาการเติบโตและอัตรากำไรอย่างยั่งยืน และบรรลุการเติบโตของยอดขาย 3 ถึง 4% และผลตอบแทนจากส่วนต่างกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี (EBIT margin) ในช่วง 15-17% สำหรับหน่วยธุรกิจเทคโนโลยีกาว เฮงเค็ลมีเป้าหมายในการบรรลุการเติบโตของยอดขายในช่วง 3 ถึง 5% และผลตอบแทนจากส่วนต่างกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี (EBIT margin) ในช่วง 18%

จากที่ได้กล่าวในข้างต้น เฮงเค็ลมีเป้าหมายในระยะกลางถึงระยะยาวสำหรับการเติบโตของยอดขายของกลุ่มที่ 3 ถึง 4% ผลตอบแทนจากส่วนต่างกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี (EBIT margin) ประมาณ 16% และเพิ่มกำไรต่อหุ้นบุริมสิทธิที่ปรับปรุงแล้วจากระดับกลางถึงสูงของเลขเปอร์เซ็นต์หลักเดียว (ที่อัตราแลกเปลี่ยนคงที่และรวมถึงการเข้าซื้อกิจการ) ในขณะเดียวกัน เฮงเค็ลยังคงให้ความสำคัญกับการขยายกระแสเงินสดอิสระอย่างต่อเนื่อง

ขั้นตอนถัดไป

เฮงเค็ลจะเริ่มดำเนินการให้ข้อมูลและปรึกษาหารือกับตัวแทนพนักงานที่เกี่ยวข้องโดยเร็วที่สุด เนื่องจากการควบรวมกิจการจะมีผลกระทบต่อพนักงานในทั้งสองหน่วยธุรกิจทั่วโลก

รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการพัฒนาธุรกิจในปีงบประมาณ 2564 และแนวโน้มสำหรับปีงบประมาณ 2565 ตลอดจนความคืบหน้าและขั้นตอนต่อไปของวาระเชิงกลยุทธ์ของบริษัทเพื่อการเติบโตอย่างมีจุดมุ่งหมายจะนำเสนอในบทวิเคราะห์และงานแถลงข่าวในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกระบวนการควบรวมของทั้งสองหน่วยธุรกิจ ตลอดจนมาตรการในการจัดการพอร์ตโฟลิโอที่วางแผนไว้ รวมถึงการทำงานร่วมกัน และค่าปรับโครงสร้างค่าใช้จ่าย จะเผยแพร่พร้อมกับรายงานในไตรมาสแรกในวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

ความคืบหน้าโดยละเอียดสำหรับทั้งสองหน่วยธุรกิจ– แบรนด์สินค้าอุปโภคบริโภคและเทคโนโลยีกาว –จะเผยแพร่ในวันนักลงทุนสัมพันธ์ ปี พ.ศ. 2565


*ปรับปรุงค่าใช้จ่ายและรายได้แบบจ่ายครั้งเดียวและสำหรับการปรับโครงสร้าง

ข้อมูลนี้ประกอบด้วยแถลงการณ์เชิงคาดการณ์ล่วงหน้าซึ่งอ้างอิงจากการประมาณการและสมมติฐานในปัจจุบันที่จัดทำโดยฝ่ายบริหารองค์กรของ Henkel AG & Co KGaA ข้อความเกี่ยวกับอนาคตมีลักษณะการใช้คำต่างๆ เช่น "คาดหวัง" "ตั้งใจ" "วางแผน" "คาดการณ์" "เชื่อ" "ประมาณ" และคำที่คล้ายกัน ไม่ควรเข้าใจข้อความดังกล่าวว่าเป็นรูปแบบการรับประกันว่าความคาดหวังเหล่านั้นจะกลายเป็นความถูกต้องแต่อย่างใด ผลการดำเนินงานและผลลัพธ์ในอนาคตที่บรรลุได้จริงของ Henkel AG & Co KGaA และ บริษัทในเครือขึ้นอยู่กับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนหลายประการ ดังนั้นจึงอาจแตกต่างอย่างมากจากข้อความคาดการณ์ล่วงหน้า ปัจจัยเหล่านี้หลายอย่างอยู่นอกเหนือการควบคุมของเฮงเค็ลและไม่สามารถประมาณล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ เช่น สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจในอนาคตและการกระทำของคู่แข่งและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในตลาด เฮงเค็ลไม่มีแผนหรือดำเนินการที่จะปรับปรุงข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าใดๆ

เอกสารนี้ประกอบด้วย -การรายงานทางการเงินที่เกี่ยวข้องซึ่งไม่ได้กำหนดไว้อย่างชัดเจน - มาตรการทางการเงินเพิ่มเติมที่เป็นหรืออาจเป็นมาตรการอื่นๆ ในการดำเนินงาน (มาตรการที่ไม่ใช่ GAAP) มาตรการทางการเงินเพิ่มเติมเหล่านี้ควรแยกกันหรือใช้เป็นทางเลือกอื่นในการวัดสินทรัพย์สุทธิและฐานะการเงินหรือผลการดำเนินงานของเฮงเค็ลตามที่นำเสนอตามแม่บทการรายงานทางการเงินที่เกี่ยวข้องในงบการเงินรวม บริษัทอื่นๆ ที่รายงานหรืออธิบายเกี่ยวกับมาตรการประสิทธิภาพทางเลือกที่คล้ายคลึงกันอาจคำนวณได้แตกต่างกัน

เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้นและไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือการเสนอขายหรือการชักชวนให้เสนอซื้อหลักทรัพย์ใด ๆ


เฮงเค็ล เผยหน่วยธุรกิจใหม่ “แบรนด์สินค้าอุปโภคบริโภค”

นายคาร์สเทน โนเบิล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเฮงเค็ล

ข้อมูลเพิ่มเติม